Active Learning

Active Learning การจัดการเรียนรู้เชิงรุก

Active Learning รูปแบบการสอนที่กำลังมาแรงในปัจจุบันนี้ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการสอนที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้คิด ได้ลงมือทำ ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ เชื่อมโยงความรู้ ทักษะ และเจตคติ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขามีความอยากเรียนรู้ และสามารถสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างนิสัยให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

รูปแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning นี้จะสามารถทำให้ผู้เรียนรักษาผลการเรียนรู้ได้อยู่คงทน และเก็บเป็นระบบความจำในระยะยาว การเรียนรู้จะเป็นไปอย่างมีความหมายโดยเกิดจากความร่วมมือกันระหว่างครูและผู้เรียน ส่งผลให้เกิดความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ดี อันจะนำไปสู่การเกิดสมรรถนะที่สำคัญตามเป้าหมายของแต่ละวิชา

โดยทฤษฎีของการเรียนรู้ตามแนวคิดแบบ แอคทีฟเลินนิ่ง ถูกคิดค้นและมีมานานกว่าร้อยปี และมีรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย หากเราเปรียบเทียบการเรียนรู้แบบ แอคทีฟเลินนิ่ง เป็นยานพาหนะก็คงต้องบอกว่ามีได้หลายแบบ ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถบรรทุก รถตู้ รถกระบะ รถโดยสารสาธารณะ และอื่น ๆ อีกมาก

ซึ่งการจะเลือกใช้ยานพาหนะแบบใดนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้งาน การเรียนรู้แบบ แอคทีฟเลินนิ่ง เองก็เช่นกัน หากครูผู้สอนต้องการเน้นให้ผู้เรียนรู้จักการแก้ปัญหา และรับมือกับปัญหาได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning : PBL) ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด แต่หากครูต้องการให้ผู้เรียนคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เน้นการมีส่วนร่วมและสร้างผลงาน การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning : PrBL) ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี หรือหากครูต้องการให้ผู้เรียนรู้จักวิเคราะห์ สืบค้น จนสามารถหาข้อสรุป และเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ในรูปแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ก็ดูจะเป็นรูปแบบที่ตรงกับวัตถุประสงค์มากที่สุด นอกจากนี้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิด แอคทีฟเลินนิ่ง ยังมีอีกมาก

รูปแบบการสอน แอคทีฟเลินนิ่ง ที่ดีต้องอาศัย 4 องค์ประกอบนี้

1. Thinking Based Learning เพราะการสร้างองค์ความรู้ได้นั้นต้องอาศัยการคิด วิเคราะห์ การประเมิน ถึงสามารถสร้างสรรค์เป็นความรู้ของตัวเองได้

2. Learning by Doing เป็นพื้นฐานของการคิดแบบ แอคทีฟเลินนิ่ง ซึ่งเชื่อว่าไม่ใช่แค่การเรียนรู้เพียงแค่คุณครูบอกเท่านั้น แต่คุณครูต้องฝึกให้เด็ก ๆ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเองผ่านการคิด และลงมือทำ

3. Cooperative Learning การสร้างองค์ความรู้เพื่อให้บรรลุตัวชี้วัด และสมรรถนะนั้น นอกจากให้พวกเขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว การสร้างองค์ความรู้ผ่านการลงมือทำร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับผู้อื่น ก็สามารถสร้างเรียนรู้แบบ แอคทีฟเลินนิ่ง ได้เช่นกัน

4. Inquiry Based Learning ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ และใช้ความคิดของตนเองอย่างเต็มที่ (แอคทีฟเลินนิ่ง) กระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นคนคิดด้วยการ

– ตั้งคำถาม กำหนดปัญหา และกำหนดสถานการณ์

– ค้นคว้า และค้นหา

– เชื่อมโยงความรู้ที่ได้จากกระบวนการสืบเสาะหาความรู้

รูปแบบการสอนที่ดีนอกจากครบองค์ประกอบของการสอนแบบ แอคทีฟเลินนิ่ง แล้ว การเลือกรูปแบบการสอนให้เหมาะสมกับเป้าหมาย หรือธรรมชาติการเรียนรู้ของวิชานั้น ๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งคุณครูอาจตั้งธงไว้ก่อนว่าจะสอนให้เด็กได้อะไรแล้วค่อยเลือกรูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับเป้าหมายนั้น ๆ

active Learning

ตัวอย่าง 5 รูปแบบการสอน แอคทีฟเลินนิ่ง มาเป็นไอเดีย เพื่อให้เข้าใจว่าเป้าหมายใด เหมาะกับวิธีการสอนรูปแบบไหน และใช้เมื่อไร?

รูปแบบการสอนที่ 1: 5E (Engage – Explore – Explain – Extend –Evaluate )

เมื่อเป้าหมายของคุณครู คือ ให้เด็กสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง รูปแบบการสอนนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สร้างทั้งความสนใจ กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ และเป็นพื้นฐานให้เด็กเกิดทักษะโดยใช้การตั้งคำถาม (Inquiry) ให้พวกเขาได้นำประสบการณ์ที่เรียนรู้ หรือฝึกฝน มาคิด และลงมือทำ จนเกิดเป็นการเรียนรู้จากความเข้าใจของตัวเอง ซึ่งลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้แบบ 5E คือ

•Engage กระตุ้นความสนใจของเด็ก ๆ ให้มากที่สุด โดยวิธีที่ใช้ต้องสัมพันธ์กับบทเรียน ครูสามารถประเมินความรู้ก่อนเรียนของเด็ก ๆ ในขั้นตอนนี้ได้ด้วย

•Explore เปิดโอกาสให้เด็กได้สร้างความรู้ความเข้าใจในตนเอง

•Explain ให้พวกเขามีโอกาสสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ และสิ่งที่ได้ค้นพบ

•Extend สามารถนำความรู้ไปใช้

•Evaluate ครู และเด็กประเมินความเข้าใจสิ่งที่ได้เรียนรู้ไป

รูปแบบการสอนที่ 2 : Phenomenon Based Learning : PheBL การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน

เมื่อเป้าหมายตามตัวชี้วัด คือ คิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา และพัฒนานวัตกรรม รูปแบบการสอนนี้เป็นการเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรือปรากฏการณ์ที่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น เน้นให้เด็ก ๆ ได้สืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง ได้สังเคราะห์ความรู้ และแก้ปัญหาด้วยตนเอง ลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้แบบ PheBL คือ

•เด็กสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง

•บูรณาการแบบสหวิทยาการ

•เรียนรู้ในชีวิตจริง ตามสภาพจริง

•เรียนรู้แบบองค์รวมที่สอดคล้องกับบริบท

•เด็กมีบทบาทในการเรียนรู้

•เรียนรู้โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้

รูปแบบการสอนที่ 3 : การใช้กรณีศึกษา (Case Study Method)

เมื่อเป้าหมายตามตัวชี้วัด คือ คิดอย่างเป็นระบบ รูปแบบการสอนที่เหมาะสม คือ Case – Study เป็นวิธีสอนที่ใช้กรณีศึกษา หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงมาดัดแปลงให้เด็ก ๆ ได้ศึกษา วิเคราะห์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่นอกเหนือจากในตำราเรียน ทำให้พวกเขารู้จักวิธีคิด วิธีนำข้อมูลต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อข้อมูลในการเรียนรู้กรณีศึกษาของตัวเองได้

รูปแบบการสอนที่ 4 : Project Based Learning: PrBL (การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน )

การจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้ จะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านความรู้ และทักษะผ่านกระบวนการศึกษาค้นคว้า และการใช้ความรู้ผ่านกิจกรรม สามารถตั้งต้นได้จากปัญหา สถานการณ์ คำถาม เงื่อนไข หรือข้อจำกัด ความต้องการต่าง ๆ แล้วสร้างเป็นนวัตกรรม หรือชิ้นงาน เพื่อแก้ปัญหา หรือตอบคำถามในเรื่องนั้น ๆ จะใช้รูปแบบการสอนนี้เมื่อเป้าหมายตามตัวชี้วัด คือ ต้องการให้เด็กออกแบบสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ หลักการสำคัญของ PrBL มี 6 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมความพร้อม เพื่อให้เด็กเข้าใจเป้าหมายของการทำ

ขั้นตอนที่ 2 การกำหนด และเลือกหัวข้อ เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของแต่ละหัวข้อที่จะทำโครงงาน

ขั้นตอนที่ 3 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน เป็นการสร้างผังมโนทัศน์ (Conceptual Map) หรือแผนที่ ความคิด (Mind Map) ที่แสดงถึงภาพรวมทั้งหมดของโครงงานตั้งแต่ต้นจนจบ

ขั้นตอนที่ 4 การปฏิบัติงานโครงงาน เป็นขั้นตอนนำวิธีการตามเค้าโครงของโครงงานมาลงมือทำ

ขั้นตอนที่ 5 การนำเสนอผลงาน จัดทำรายงาน และการนำเสนอผลการปฏิบัติโครงงาน

ขั้นตอนที่ 6 การประเมินโครงงาน เป็นการประเมินอย่าง ต่อเนื่องด้วยวิธีการและเครื่องมือที่หลากหลาย เน้นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ทั้งความรู้ กระบวนการ พฤติกรรมของเด็ก ๆ ผลงาน และสิ่งที่พบเจอในขณะทำโครงงาน

รูปแบบการสอนที่ 5 : การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning : PBL)

เมื่อเรามีเป้าหมายตามตัวชี้วัด คือ อยากสอนให้เด็กสามารถแก้ปัญหาเป็น ดังนั้นรูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับตัวชี้วัดนี้ คือ Problem Based Learning เด็กจะเรียนรู้โดยใช้ปัญหาที่ใกล้ตัว และพบเจอในชีวิตประจำวันเป็นตัวนำ หรือเป็นฐานในการจัดการเรียนรู้ เพื่อนำมาสู่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้จัดการกับปัญหาดังกล่าวได้ ขั้นตอนของ PBL

สรุป

แอคทีฟเลินนิ่ง อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องสำคัญที่เราทุกคนต้องผลักดันให้เกิดขึ้น การสร้างความรู้ความเข้าใจโดยเฉพาะในบุคลากรทางด้านการศึกษา จึงถือเป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันขับเคลื่อนจากทุกหน่วยงาน เพราะเป้าหมายสำคัญของเราถือเป็นเป้าหมายเดียวกัน คือ เราต้องการให้เด็กของเราในวันนี้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ที่คิดเป็น แก้ปัญหาได้ สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้จนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาประเทศชาติของเราให้ก้าวหน้า และกลายเป็นพลเมืองของชาติที่สมบูรณ์ต่อไป

เพราะการเรียนรู้แบบ แอคทีฟเลินนิ่ง ไม่ได้มีสูตรสำเร็จ คุณครูจำเป็นต้องใช้การเรียนการสอนที่หลากหลาย เพื่อให้สอดคล้องไปกับบริบทของเนื้อหา และเป้าหมายที่เด็กจะได้รับ อันจะนำไปสู่การเกิดของ “สมรรถนะ” กับพวกเขาต่อไป

คำถามที่พบบ่อย(FAQ)

1. แอคทีฟเลินนิ่ง กับการสอนในยุคนี้ดีกับเด็กอย่างไร ?

– รูปแบบการเรียนรู้แบบ แอคทีฟเลินนิ่ง คือกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการสอนที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้คิด ลงมือทำ ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ เชื่อมโยงความรู้ ทักษะ และเจตคติ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาอยากเรียนรู้ และสามารถสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างนิสัยให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

2. แอคทีฟเลินนิ่ง สอนอย่างไร ?

– รูปแบบการเรียนรู้ที่เน้น”กระบวนการเรียนรู้” มากกว่า “เนื้อหาวิชา” และปรับบทบาทของครูให้มาเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ เพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้คิด ลงมือทำ

แหล่งที่มาของข้อมูล

https://www.aksorn.com/activelearning-5method

https://www.bangkokbiznews.com/health/education/1029732

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ bearlanderstradingco.com

แทงบอล

Releated